ทำไม 'เชื้อชาติสีผิว' มีผลต่อความเป็น 'อภิสิทธิ์ชน'?

▪️...ข้อโต้แย้งในเรื่องของมนุษย์เริ่มต้นจากจุดเดียวกัน ดำเนินไปเพื่อตอบโต้ความคิดแบบกำเนิดมนุษย์มาจากหลายจุด (polygenism) สำหรับความคิดที่เชื่อว่ามนุษย์มาจากหลายจุดนั้นพัฒนาจากความคิดเรื่องพื้นที่ในโลกถูกแบ่งออกเป็นทวีปต่างๆ โดยการแบ่งนั้นยังสามารถอธิบายด้วยกรอบคิดทางเทววิทยา เช่น นักบุญเจอโรม (St. Jerome) ผู้บรรยายว่า โนอาห์มอบสามดินแดนให้กับลูกสามคน เชม (Shem) ฮาม (Ham) และ เจเฟธ (Japheth) ซึ่งได้แก่เอเชีย แอฟริกา และยุโรป ตามลำดับ

▪️ โดยการแบ่งพื้นที่แบบไบเบิลนั้นได้แทรกเรื่องของเชื้อชาติผนวกเข้าไปในศตวรรษที่ 19 ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่พวกธรรมชาตินิยม (Naturalist) โดยเฉพาะตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา โดยทั่วไปแล้วพวกธรรมชาตินิยมในศตวรรษที่ 19 มักยึดโยงกับพระคัมภีร์ไบเบิล

▪️ ความคิดเรื่องธรรมชาติที่ค่อยๆ หันหลังให้กับเทววิทยาและดำเนินไปพร้อมกับการขยายตัวของอาณานิคม โดยธรรมชาติเป็นส่วนสำคัญของความรู้ ‘อาณานิคมคนผิวขาว’ ธรรมชาติที่ดิบเถื่อนเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินชีวิต ทั้งนี้ ธรรมชาติคนผิวขาวที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของเชื้อชาติสีผิว รวมถึงการจัดระเบียบธรรมชาติ เช่น อุทยานธรรมชาติ สวนพฤกษชาติ พิพิธภัณฑ์ ดำเนินไปพร้อมกับการขยายอำนาจอาณานิคม โดยมีกรอบความคิดนิเวศวิทยา (ecology) ดำเนินควบคู่ไปกับอำนาจอาณานิคม

▪️ เพราะอาณานิคมจะเป็นไปไม่ได้เลยหากขาดความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติในดินแดนที่อยู่ห่างไกล แต่ว่าอภิปรัชญา (metaphysics) ของยุโรปตะวันตกกลับพยายามแยกธรรมชาติออกจากวิถีชีวิตแห่งความเป็นมนุษย์ อีกทั้งความพยายามจะรักษาธรรมชาติที่บริสุทธิ์โดยไม่ให้มีการแปดเปื้อนจากมนุษย์ ซึ่งดำเนินควบคู่ไปกับความคิดความบริสุทธิ์ของเชื้อชาติ

▪️ การไม่ผสมปนเปของเชื้อชาติเพื่อรักษาความบริสุทธิ์คือวิถีชีวิตของผู้อยู่ตำแหน่งสูงสุดของเชื้อชาติสีผิว การรักษาความบริสุทธิ์ของร่างกายดำเนินไปพร้อมกับการดูแลความสะอาดของร่างกายของเหล่ากระฎุมพีคนเมือง (bourgeois) เชื้อชาติสีผิวที่บริสุทธิ์จึงจำเป็นต้องร่วมเพศหรือสืบสายพันธุ์ในพวกเดียวกันเท่านั้น

▪️ เชื้อชาติสีผิวที่บริสุทธิ์ที่ยังต้องการ ‘ผลิตผลทางเพศ’ ที่บริสุทธิ์เป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับชนชั้นกระฎุมพี ทั้งนี้ เชื้อชาติสีผิวและชนชั้นยังเป็นการจัดระเบียบมนุษย์ของคนผิวขาวในศูนย์กลาง (center) เช่น ยุโรป ไปจนถึงอาณานิคม

▪️ กรอบความคิดเชื้อชาติสีผิวเปิดทางให้กับการจัดระเบียบสายสัมพันธ์ทางสังคมแบบใหม่ซึ่งไม่ต้องการระเบียบทางชนชั้นแบบสังคมอภิสิทธิ์ชน (aristocracy) ทั้งนี้ ไมเนอร์สเห็นว่าชนชั้นแบบอภิสิทธิ์ชนมีแต่จะเสื่อมลง ถึงกระนั้นไมเนอร์สก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับความเท่าเทียมกันตามแนวทางแบบคานท์ผู้ปฏิเสธแนวทาง ‘polygenism’ หรือ ‘จุดเริ่มต้นของมนุษย์มาจากหลากหลายแหล่ง’ และยังรวมไปถึง โยฮัน ก็อทลีพ ฟิชเทอ (Johann Gottlieb Fichte) ด้วย

▪️ แต่การต่อต้านความคิดเรื่องความเท่าเทียมกันในฐานะความเป็นสากลเป็นเรื่องปกติแห่งยุคสมัยของผู้คนส่วนใหญ่ในเยอรมนี ซึ่งเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์มีความแตกต่างกันไปตามแต่ละที่ มากกว่าที่จะเป็นไปตามหลักนามธรรมสากล ทั้งนี้ จุดเริ่มต้นของมนุษย์ที่มาจากหลายแห่งถูกอธิบายว่า การที่มนุษย์จะมาจากคอเคเซียนเดียวกันทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก เพราะในศตวรรษที่ 17 และ 18 คนผิวขาวป่วยล้มตายเป็นจำนวนมากด้วยสาเหตุที่ไม่สามารถปรับตัวเข้าสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศได้

▪️ กรอบความคิดทางเชื้อชาติที่ไม่ได้ทำลายความเท่าเทียมกัน แต่กลับเปิดทางให้กับความเท่าเทียมกันของวิถีชีวิตและค่านิยมแบบกระฎุมพีผิวขาว (white bourgeoisie) เช่น ความซื่อสัตย์ ความขยัน การอยู่ได้ด้วยตนเอง (self-sufficiency) ประหยัด เป็นไปได้มากขึ้น

▪️ สำหรับอุดมการณ์ความเท่าเทียมของมนุษย์นั้นจำกัดอยู่แค่คนคริสต์ผิวขาว ความเท่าเทียมกันเกิดขึ้นตามเป้าหมายของรัฐประชาชาติที่ต้องการความเป็นเอกพันธุ์ (homogeneity) ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่แสดงออกผ่านความเป็นชาวคริสต์ ทั้งนี้ ผู้คนที่อยู่ในศาสนาอื่นๆ ไม่สามารถเข้ามาเป็นพวกเดียวกันได้ เช่น ยิว อาหรับ...

บางส่วนจากในเล่ม ว่าด้วยการถอดถอนระเบียบอำนาจแบบอาณานิคม (On Decolonaility)  
โดย ธเนศ วงศ์ยานนาวา

▪️▪️▪️ คำตอบว่า ทำไม 'เชื้อชาติสีผิว' มีผลต่อความเป็น 'อภิสิทธิ์ชน'?!? ยังมีให้คุณค้นหาต่อภายในเล่มนี้ -- หนังสือเล่มที่ 11 ในชุดงานของ ธเนศ วงศ์ยานนาวา