Last updated: 23 มิ.ย. 2565 | 3251 จำนวนผู้เข้าชม |
-1-
ในฐานะนักอ่าน เขารู้จักสำนักพิมพ์สมมติจาก ‘ยูโทเปีย’ ฉบับปกแข็งของ เซอร์ โธมัส มอร์ สำนวนแปลโดย สมบัติ จันทรวงศ์ ก่อนในอีกห้าปีต่อมา เขาจึงได้มีผลงานตีพิมพ์ในนาม ‘สมมติ’ จากนิยายที่ชื่อ ‘น้ำตาปารวตี’
====================
-2-
ผมไม่แน่ใจนักว่าควรจะบอกเล่าถึงคำว่า ‘สมมติ’ อย่างไรดี?
ระยะเวลาสิบปี กาลเวลาเป็นได้ทั้งยาวนานและเพียงกะพริบตา แต่พอพิจารณาถึงเนื้อหนังการงานตัวเองในระยะเวลาที่ผ่านมาบนฐานของคำว่า ‘นักเขียน’ อาชีพนี้ (น่าสงสัยว่าในวันเวลาปัจจุบันยังสามารถเรียกว่าอาชีพนักเขียนได้หรือไม่ในความหมายของนักเขียนวรรณกรรมเรื่องแต่งชนิดจริงจัง) จัดวางตัวเองบนความเพ้อฝันของเรื่องเล่าที่เป็นส่วนผสมระหว่าง 'เรื่องแต่ง' และ 'เรื่องจริง'
บ่อยครั้งเส้นแบ่งระหว่างสองเรื่องนี้พร่าเลือน
บ่อยครั้งผมพบ ‘ตัวตนสมมติ’ ที่ผุดขึ้นมาจากความมืดและความเงียบเมื่อต้องอยู่ลำพังกับหน้าจอกระดาษสมมติผ่านโปรแกรมเวิร์ดโปรเฟรสเซอร์
ตัวตนสมมตินั้นไม่ได้จากไปเมื่อเรื่องเล่านั้นจบลง
บางครั้งผมยังพบเขาแอบซ่อนอยู่ด้านหลังในเงากระจก ในซอกมุมลึกลับของบ้าน ซึ่งความทรงจำไม่อยากหวนรำลึกซ่อนเร้นอยู่ ในเสียงกระซิบของการรำลึก
‘นักเขียนสมมติ’ กลายเป็นตัวตนจริงที่ผมไม่อาจปฏิเสธการดำรงอยู่
====================
-3-
ช่วงปลายปี 2014 นิยายในชื่อ ‘ดังนั้นจึงสิ้นสลาย’ ถูกเขียนเสร็จสิ้น เรื่องเล่าในนิยายเล่มนี้ประกอบสร้างขึ้นจากความทรงจำที่เขามีต่อตัวเองในวัยเยาว์ มุมมองที่เขามีต่อปรากฏการณ์ต่างๆ ของสังคม และการเมืองที่ห่อหุ้มประเทศนี้จนเขาอดคิดถึงคำว่า ‘สมมติ’ ไม่ได้ว่าช่างเป็นคำที่เหมาะในการให้นิยามตัวตนของประเทศที่เขาเกิดและเติบโต
ในห้วงเวลานั้นเขารู้สึกชิงชังบรรดาผู้คนที่เรียกตัวเอง ‘คนดี’
เขาคิด และดำรงอยู่ด้วยความคิดนั้น ว่า ‘คนดี’ ในนิยามของผู้คนเหล่านั้นผิดเพี้ยนกันไกลกับความหมายที่เขาเรียนรู้เติบโตมา
แล้วถ้าผู้คนเหล่านั้นจะเชื่อมั่นในอำนาจนอกระบบเพื่อสถาปนาระบอบการเมืองภายใต้คำว่า ‘ความดี’
ผู้คนเหล่านั้นตั้งแต่ระบบบนไล่ลงมาถึงระดับล่างก็ล้วนเป็นได้แค่สิ่งสมมติสำหรับเขา
เป็นผีที่ไม่มีอยู่จริง
จวบจนเวลาผ่านไป จวบจนเขาตระหนักในที่สุดว่าเป็นเขาเองต่างหาก คือ ผี ที่ไม่มีอยู่จริง
เขาเป็นแค่ตัวตนที่ถูกสร้าง เป็นสิ่งสมมติในประเทศที่ผูกโยงทุกอย่างไว้ภายใต้ความเชื่อว่าจะนำพาประเทศไปสู่อนาคตที่มั่นคง มั่งคั่ง และสงบเรียบร้อย มากกว่าจะเป็นการทำข้อตกลงร่วมกันของทุกชนชั้นระดับสังคมให้สามารถเกลี่ยผลประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียม
เขานึกถึงประโยคที่ผ่านพ้นมาเนิ่นนานนับสิบปีในหนังสือที่ว่าด้วยสถานที่ที่ไม่มีอยู่จริง ประโยคนั้นบอกไว้ว่า
“....หากความปรารถนาอันแรงกล้าถึงสิ่งที่ดีงามและความฝันในเชิงอุดมคติยังไม่พร่องจากสามัญสำนึกไปนัก เรา – ทั้งผู้อ่านและสำนักพิมพ์สมมติ ก็จำเป็นต้องทำให้ความต้องการเปลี่ยนแปลงนั้น มิได้เกิดขึ้นในโลกของตัวอักษรเพียงมิติเดียว...”
ด้วยประโยคนั้น เขาถึงตระหนักถึงภาวะสมมติในตัวเอง
แล้วปรารถนาแม้เพียงด้วยการบอกเล่าให้การดำรงอยู่ของเรื่องแต่งข้ามพ้นไปสู่พรมแดนของความจริง
====================
-4-
มนุษย์ / คน เอาแค่ความหมายที่เหมือนกัน ทำไมจึงถึงต้องมีแบ่งแยกเป็นสองคำเพื่อบอกถึงการต่ำชั้นและการสูงส่งกว่า?
หลายเรื่องผ่านพ้นเข้ามาในชีวิตตลอดสิบปีที่ผ่านมา บางเรื่องบอกเล่าผ่านในรูปของวรรณกรรมไปบ้างแล้ว บางเรื่องถูกเก็บงำไว้สนทนากับตัวตนสมมติเพียงสองคนเหมือนมิตรสหายรู้ใจที่พอบทสนทนาจบสิ้นมักมีเพียงความว่างเปล่า
ในมิตินั้น ผมคิดว่าการอ่านหนังสือ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสำนักพิมพ์สมมติ ล้วนวางอยู่บนความว่างเปล่าเหมือนการสนทนากับมิตรสหายรู้ใจ
ใช่หรือไม่? ว่าเราไม่จำเป็นต้องพบคำตอบในหนังสือเล่มนั้น อีกเช่นกัน, หนังสือใช่ว่าก่อให้เกิดคำถามเสมอไป
นิยามความหมายของคำว่า ‘สมมติ’ เอาเข้าจริง แม้จะตระหนักดีในความหมาย แต่กาลเวลาเปลี่ยน ความหมายย่อมเปลี่ยน
เรา – ผมและเขา – รวมถึงคุณ ต่างอยู่ในประเทศที่ทุกสิ่งถูกสมมติสร้างโดยมีคำที่ละไว้ฐานที่เข้าใจตรงกันบนยอดสูงสุดผ่านการจำลองในลักษณะกายของมนุษย์และคน
ประเทศสมมติที่ยกย่องมนุษย์ให้เหนือมนุษย์ แล้วกดเหยียบมนุษย์ด้วยกันให้เป็นเพียงฝุ่นผงธุลี
คงอย่างที่เขาบอก เราเป็นเพียงสิ่งสมมติในประเทศที่ดันประกอบสร้างด้วยสิ่งสมมติยิ่งกว่าจนสถาปนาเป็นความจริงเพียงหนึ่งเดียวได้
ทางเดียวที่เราพอจะก้มหน้าก้มตาทำต่อไปได้ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ คือ การสร้างซึ่ง ‘ความจริง’ ด้วยเรื่องเล่าของพวกเราไม่ให้หายไปในประเทศสมมตินี้
แล้วหวังให้การถูกจดจำสร้างสิ่งสมมติให้กลายเป็นจริงในฐานะมนุษย์ที่เท่าเทียมขึ้นมา
...สักวันหนึ่ง
====================
29 มี.ค. 2562
29 มี.ค. 2562
29 มี.ค. 2562
29 มี.ค. 2562